วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2559


ผมออกมาเดินเช้าๆ ริมทะเลสาบเดินเที่ยวคนเดียวไม่สนุกเลยเพราะไม่ได้ถือกล่องไฟสตูดิโอมาด้วยเลยไม่ได้ภาพสวยๆ

ก็แทบจะไม่มีคนจักเอาเลยผมกลับมานอนรอเที่ยวบินที่เจแนฟ (เจนีวา)ซึ่งเรียกตามคนพื้นที่
ผมอยู่ที่นั่นในเวลานั้นอากาศเย็นลงมาเหลือ ๕องศาเซลเซียสเท่านั้นผมออกมาเดินเช้าๆ ริมทะเลสาบ
เดินเที่ยวคนเดียวไม่สนุกเลย นอนสองคืนเหมือนนานเป็นเดือนแล้วจึงกลับมาทำงานตามปกติ
สิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือคุณนพดลและคุณปรีชาที่ผมทราบว่ายังไม่ถึงกำหนดกลับการได้รู้จักมักคุ้นกันครั้งนี้แหละที่ทำให้ผมก้าวเข้ามาในวงการโทรทัศน์อย่างเต็มที่จนลามไปถึงละครเวทีเสียอีกจาก โอลิมปิค
ไปสู่ความหลากหลายผมได้เกริ่นไว้ว่าการเดินทางไป กล่องไฟถ่ายภาพ โอลิมปีคที่กรุงโรมครั้งกระนั้นทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อชีวิตของผมจนเกือบจะเรียกได้ว่าห่างไปจากงานอาชีพคือความเป็นนักข่าว-นักหนังสือพิมพ์ ทั้งๆที่ก็ยังทำงานที่นครไทย-แม่ศรีเรือนอยู่อย่างเดิมเพียงแต่ว่าเมื่อคุณนพดลกับคุณปรีชากลับจากการดูงาน ณ สถานีทีวีรายแล้ววิถีทางของการทำงานก็เบี่ยงเบนเข้าไปหาทีวีช่องหรือวิกบางขุนพรหมมากขึ้นโดยที่มิได้เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องเข้าไปทำงานในด้านนี้มากไปกว่าการรับจ้างเขียนบทภาพยนตร์ทั่วๆ ไปต้องขออนุญาตเรียบเรียงเรื่องของงานทีวีนับแต่เริ่มต้นซึ่งได้เคยเล่าไว้บ้างแล้ว ประเดิมเริ่มต้นมาจากคุณวิจิตรคุณาวุฒิ อีกแล้ว ในปีนั้นคุณวิจิตรรับจ้าง คุณศุภอัฐ ซวะโรทัย
กำกับการ กล่องถ่ายภาพ แสดงภาพยนตร์เรื่องปรารถนาแห่งหัวใจ ซึ่งมีอดุลย์ ดุลยรัตน์แสดงนำคู่กับอมรา อัศวนนท์คู่พระคู่นางที่กำลังหอมฟ้ง ตามด้วยประจวบฤกษ์ยามดี และพงษ์ลดาพิมลพรรณ เสร็จเรียบร้อยแล้วกำลังวางแผนโฆษณาคุณวิจิตรหารือว่าจะเอาดาราในภาพยนตร์ซึ่งไม่เคยออกจอทีวีไปแสดงละครจะดีไหม ผมเห็นด้วยทันทีเมื่อติดต่อตกลงได้วันเวลาออกอากาศแล้วคุณวิจิตรส่งกระดาษซึ่งเป็นหน้าเดียวของ เดลิเมล์วันจันทร์ มาให้ผมแล้วบอกว่าลองเอาไปอ่านดูว่าจะทำละครดีไหมเพราะตัวละครมีไม่กี่ตัว หน้าเดียวนั้นเป็นเรื่องสั้นของคุณวิจิตรเองอ่านหน้าแรกแล้วพลิกไปอีกหน้าจบเรื่อง ซื่อเรื่อง เทพีหรือปีศาจจากนั้นก็ปรึกษากันถึงเรื่องบทโทรทัศน์การดำเนินเรื่องและจบอย่างไร ละครเรื่องนี้จบในคืนเดียวผู้แสดงตกลงกันว่าจะเป็นประจวบพงษ์ลดา-ซนินทร์ นฤปกรณ์และมีอีกสองสามคนที่เป็นตัวประกอบผมไม่เคยเขียนบทโทรทัศน์ถามคุณวิจิตรก็ไม่ได้คำอธิบายมากไปกว่า กล่องไฟถ่ายรูป เขียนไปเถอะผมก็จัดการเขียนเหมือนบทภาพยนตร์เรียบร้อยโชคดีที่ไม่มีการแก้ไขอะไรมากเลยซื่อเสียงของคุณวิจิตรเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ช่องตามใจที่จะจัดห้องซ้อมก่อนการแสดงผมก้าวเข้าไปเป็นครั้งแรกเพราะจะช่วยกำกับบทระหว่างแสดงด้วยผลปรากฏว่าละครเรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากผมพลอยติดร่างแหไปกะเขาด้วยผมรวบรัดพอให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจในทางเดินของผมเพราะเมื่อทั้งคุณนพดลกับคุณปรีชากลับมาแล้วก็มีการนัดพบกัน ทานข้าวกลางวันกันหน-สองหนการคุยกันก็เกิดหันเหไปเรื่องการจัดละครให้เข้าโปรแกรมของหัวหน้าฝ่ายรายการคือ คุณจำนง รังลิกุลคุยกันอีกหลายครั้งจนกระทั่งหัวหน้าจำนงเห็นพ้องด้วยที่จะทำละครประเภท นักสืบ เพราะยังไม่มีใครเคยทำ มีแต่หนังชุดจากต่างประเทศเมื่อตกลงกันแล้วผมก็มาคิดถึงเพื่อนนักเขียนที่พอจะคุยกันได้ซึ่งไปตกลงกับ เตมีย์วิทยะให้ช่วยจัดพล็อตเรื่องแล้วผมมาเขียนบทโดยซื่อเรื่องซึ่งจะจบในคืนเดียวภายในเวลา ๑๒๐ นาทีรวมเวลาโฆษณาด้วย กล่องถ่ายรูป จะเริ่มต้นด้วยคำว่า คดี ผู้ที่จะเป็นนักสืบคนแรกคือคุณชาติ (ลักกะ)จารุจินดา เอาคุณนพดลมาแสดงเป็นตำรวจมีดาราของช่องมาร่วมด้วยหลายคนและเพื่อให้เป็นมิ่งขวัญของละคร คณะปรีชาถาวร ผมไปกราบเชิญ ครูเนรมิต มากำกับการแสดงอันจะทำให้ผมได้เรียนรู้ไปด้วยถือว่าการประเดิมเริ่มแรกนั้นผ่านไปด้วยความพอใจของหัวหน้าจำนง การเตรียมเรื่องที่สอง-สามก็ตามมาผมจะไม่เล่าถึงความวุ่นวายในการหาสปอนเซอร์ เราคือผมกับคุณปรีชาตกลงกันว่าจ่ายค่าใช้จ่ายเสร็จหมดทั้งค่าเรื่อง ค่าบทค่าผู้แสดงและรายจ่ายอื่นๆ แล้วเหลือเท่าไหร่เอาสองหารแบ่งกันคนละครึ่งนับแต่นั้นเวลาว่างของผมแทนที่จะไปที่บ้านคุณเฑียรร์อย่างเคยก็กลายมาเป็นสโมสรของช่องซึ่งอยู่กัดจากเคาน์เตอร์รเซฟชั่นเข้าไปบางวันไปทานอาหารกลางวันที่นั้นอะไรแบบนั้นผมเลยถือโอกาสศึกษาการทำงานของโทรทัศน์ด้วยเสร็จและได้มีโอกาสได้รู้จักกับคุณอาจินต์ปัณจพรรค์ ก็ที่นี่แหละระหว่างนี้ครูเนรมิตเรียกให้ผมไปช่วยเกี่ยวกับบทภาพยนตร์เรื่องร้ายก็รัก ในแต่ละช่วงภาพยนตร์เรื่องนี้ทำฉากที่โรงถ่ายสุริยะสี่กั๊กพระยาศรี ซึ่งผมเดินเข้า กล่องไฟถ่ายภาพสินค้า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น